วันอังคารที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ฮั้วลักเซียมใหม่! เพิ่มสมุนไพร 99 ชนิดในขวดเดียว.ฮั้วลักเซียม เป็นยาน้ำที่สะอาด กลิ่นหอม รสหวาน ดื่มง่ายมีสรรพคุณเป็นยาบำรุงร่างกาย รับประทานได้ทุกเพศ ทุกวัย....

สวัสดีครับ ผมสุประวีณ์ เอื้อรัศมี (หนึ่งครับ) ปรารถนาให้คนไทยมีสุขภาพที่แข็งแรงมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นทั้งเรื่อง การเงิน เวลา สุขภาพกัลยาณมิตรที่ดี โดยลักษณะส่วนตัวของหนึ่งเองนั้นจะยึดหลักการให้ข้อมูลที่เป็นความจริงให้ได้มากที่สุด และ ตรงไปตรงมาเพื่อให้เกิดประโยชน์ความรู้แก่ทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมชมบนหน้าเว็บของหนึ่ง คุณหมอณรงค์ พุ่มโพธิ์งาม ได้อุทิศเวลาเกือบทั้งชีวิตเพื่อนำสูตรลับฮ่องเต้มาจากจีนฮั้วลักเซียม เดิมสมุนไพรจีน 62 ชนิดกับสมุนไพรไทย 5 ชนิดรวมเป็น 67ชนิดในขวดเดียวกัน ฮั้วลักเซียม เป็นสมุนไพรจีนต้นตำหรับหมอหลวงในสมัยราชวงศ์เช็งเมื่อ 500 กว่าปีก่อน ฮั้วลักเซียม สูตรนี้ได้รับการถ่ายทอดมาถึงทายาทรุ่นหลังๆของหมอหลวงจนถึงปัจจุบันโดยคุณหมอณรงค์ พุ่มโพธิ์งามได้วิชาแพทย์แผนจีนกับทายาทหมอหลวง จึงได้รับสูตร ฮั้วลักเซียม นี้มาช่วยชีวิตมนุษย์ ต่อมาได้ขึ้นทะเบียนตำรับยาแผนโบราณผลิตและจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวในไทยและต่างประเทศ....


จากที่หนึ่งได้สัมผัสโดยการดื่มยาน้ำสมุนไพรจีน ฮั้วลักเซียม นั้นเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจน โรคตะคริวเหน็บชาเป็นโรคประจำตัวที่หนึ่งเป็นอยู่บ่อยๆ โดยใช้ยาคลายกล้ามเนื้อ(แผนปัจจุบัน)ทานอยู่เสมอๆ เป็นคนนอนกรนอยู่บ่อยๆ ด้วยน้ำหนักตัวถึง 95 กก.ระบบสมองก็ไม่ดี หลงๆ ลืมๆ บ่อยโดยเฉพาะช่วงตอนตื่นนอนช่วงเช้าจะรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น.ปัจจุบันการเจ็บป่วยของคนเรานั่นมาจากเหตุปัจจัยหลายอย่างครับ...ทั้งอาหาร สภาพแวดล้อม และจิตใจ..

1.อารมณ์ เช่น ความเครียด ความเร่งรีบ เร่งรัด รีบร้อน ความกลัว ความวิตกกังวล ความไม่โปร่ง ไม่โล่ง ไม่สบายใจ ความไม่พอใจ รำคาญใจ ความมุ่งร้าย อาฆาต พยาบาท ความโลภ โกรธ หลง ยึดติดเกินไป เอาแต่ใจตัวเอง เป็นต้น ทุกครั้งที่ผู้คนมีสภาพจิตดังกล่าว จะทำให้ต่อมหมวกไตหลั่งสารอะดรีนาลีนออกมากระตุ้นให้เซลล์ในร่างกายผลิต พลังงานมากเกินความพอดีจนเผาทำลายเซลล์เนื้อเยื่อของร่างกาย อวัยวะส่วนใดของร่างกายที่อ่อนแอก็จะเสื่อมหรือแสดงอาการไม่สบายก่อน เช่น บางคนอาจมีอาการปวดศีรษะ บางคนปวดคอ บางคนปวดท้อง บางคนเจ็บหัวใจ บางคนอ่อนเพลียทั้งตัว เป็นต้น ถ้ายังมีอารมณ์ดังกล่าวอยู่ ความเสื่อมก็จะรุกลามขยายผลและแสดงอาการไม่สบายไปตามอวัยวะส่วนอื่นต่อไป

2.อาหาร (สารพิษตกค้าง) เช่น พืช ผัก ผลไม้ เริ่มตั้งแต่กระบวนการเพาะปลูก ใช้สารเคมี ฉีดยาฆ่าแมลง เร่งออกดอก ออกผล สีสันสวยงาม ฯลฯ โดยเฉพาะเนื้อสัตว์ ที่มีการเร่งการเจริญเติบโตทางด้านฮอร์โมนที่ผิดไปจากธรรมชาติทั้ง ไขมัน กรดยูริค กรดแลคติก อะดรีนาลีนและสารอื่นๆ ที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมาก.

3.มลพิษต่างๆ ในปัจจุบัน ยิ่งจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ตามยุคโลกาภิวัตน์  จากปริมาณรถยนต์ โรงงานอุตสาหกรรม ฯลฯ ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ควันพิษต่างๆ ตามมามากมาย. เครื่องมือสื่อสารต่างๆ จะมีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ที่มีผลต่อร่างกายของคนเราและจะมีโรคที่ตามมาอีกหลายๆ อย่าง. 

  ฮั้วลักเซียม..เปิดเข้าสู่ปีที่8


ยาสมุนไพร แตกต่าง จากยาปฏิชีวนะอย่างไร?
ยาสมุนไพร เป็น "ผลิตผลทางธรรมชาติที่ได้จาก พืช  และ แร่ธาตุ ที่ใช้เป็นยาเพื่อบําบัดโรค บํารุง ร่างกาย หากนำเอาสมุนไพรตั้งแต่สองชนิดขึ้นไปมาผสมรวมกันซึ่งจะเรียกว่า ยา ในตำรับยา สมุนไพรกำเนิดมาจากธรรมชาติและมีความหมายต่อชีวิตมนุษย์โดยเฉพาะ ในทางสุขภาพ อันหมายถึงทั้งการส่งเสริมสุขภาพและการรักษาโรค  (ซึ่งหากใครทานยา รพ.อยู่ก็สามารถทานควบคู่กับยาน้ำสมุนไพรฮั้วลักเซียมได้ครับ)

ยาปฏิชีวนะ  จริงๆ แล้ว เป็นยาที่สังเคราะห์ขึ้นตามกระบวนการทางเคมีที่ได้มาจากสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กๆ เช่น แบคทีเรีย รา  และ พืชบางชนิด  สกัดได้จากราพันธุ์ต่างๆ ที่มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายระดับหนึ่ง  ที่สร้างสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กๆ ขึ้นมา ช่วยต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆ ในร่างกาย ดังนั้นเราจึงนำยาปฏิชีวนะมาใช้ในการรักษาโรค เป็นยาชนิดหนึ่งที่ป้องกันและยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย หรือทำลายแบคทีเรีย(ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย) และโรคอื่นๆ ยาปฏิชีวนะทำหน้าที่ ต่อต้านสิ่งมีชีวิตในร่างกายขนาดเล็กๆ เท่านั้น. ยาปฏิชีวนะมีหลายกลุ่ม ตัวอย่างเช่น กลุ่มเพนิซิลลิน อีรีโทรมัยซิน เตตราซัยคลิน คลอแรมเฟนิคอล สเตรปโตมัยซิน  ยาประเภทซัลโฟนาไมด์ เป็นต้น
โดยทั่วไปยาปฏิชีวนะจะเป็นโมเลกุลขนาดเล็กที่มีน้ำหนักโมเลกุลน้อยกว่า 2000 และมักไม่ได้เป็นเอนไซม์ด้วย
คำว่า  ยาปฏิชีวนะ ในภาษาอังกฤษตรงกับคำว่า “Antibiotics” ซึ่งมาจากคำว่า  Antibiosis  คำว่า  Anti  แปลว่า ต่อต้าน  และ  biosis แปลว่า  ชีวิต  ยุคของยาปฏิชีวนะได้เริ่มขึ้นราวปี  ค.ศ. 1928 เมื่อ เซอร์อเล็กซานเดอร์  เฟลมมิง ได้ค้นพบสายพันธุ์ของเพนิซิเลียม  และได้ตั้งชื่อสารชนิดนี้ว่า  เพนิซิลลิน  ซึ่งมีประสิทธิภาพในการรักษาโรคปอดบวมการติดเชื้อในลำคอและไอกรน   ยาปฏิชีวนะส่วนใหญ่ผลิตจากแบคทีเรีย และรา  นักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถรู้จักกลไกการทำงานที่สมบูรณ์ในการฆ่าเชื้อโรคของยานี้  แต่ยานี้ก็ได้ช่วยให้คนนับล้านทั่วโลกที่ป่วยเป็นโรคต่างๆ  ประหยัดค่ารักษาพยาบาล และลดอัตราการตายจากโรคต่างๆ  เช่น  โรคปอดบวมและไข้รากสาด นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันโรคติดเชื้อต่างๆ เช่น การติดเชื้อในลำคอรูมาตอยด์ และกามโรค  แต่ยานี้ก็มีผลข้างเคียงด้วยเช่นกัน คือ อาจเกิดผื่นแดง และอาการอย่างอื่นที่ทำให้เกิดโรคอื่นๆ นอกจากนี้การแพ้ยาก็อาจทำให้ถึงตายได้.  และบางครั้งก็อาจเกิดอาการดื้อยาด้วย
 ยาปฏิชีวนะเป็นกลุ่มหนึ่งของยาต้านจุลินทรีย์ (antimicrobial) ที่ประกอบด้วย
·         ยาต้านไวรัส (anti-viral drugs)
·         ยาต้านเชื้อรา (anti-fungal drugs)
·         ยาต้านปรสิต (anti-parasitic drugs)
  ในวงการแพทย์มักเรียกยาปฏิชีวนะว่า แอนไทไบโอติก หรือ บางคนออกเสียงว่า แอนติไบโอติก (Antibiotics) เป็นคำที่มาจากภาษากรีก หมายถึง ยาต้านสิ่งมีชีวิต (Anti หมายถึง ต่อต้าน Bios หมายถึง ชีวิต) ซึ่งสิ่งมีชีวิตในที่นี้ คือ จุลชีพ หรือ สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กๆ ซึ่งคือ เชื้อโรคนั่นเอง ดังนั้น ยาปฏิชีวนะ ก็คือ ยายับยั้ง ฆ่า และ/หรือ ต้าน ทานจุลชีพซึ่งโดยทั่วไปมักเป็นเชื้อแบคทีเรีย บางคนจึงเรียกว่า ยาต้านแบคทีเรีย (แอนติแบคทีเรียล/Antibacterial) แต่ยังอาจครอบคลุมถึงเชื้อไวรัสบางชนิด และเชื้อราบางชนิดได้ด้วย
ในร่างกายของมนุษย์จะมีระบบภูมิคุ้มกันต้านทานโรค เช่น เม็ดเลือดขาวที่ใช้ป้อง กันการบุกรุกของเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย อาทิ เชื้อวัณโรค เป็นต้น ซึ่งเมื่อใดก็ตามที่เชื้อโรคมีมากจนภูมิต้านทานหรือเม็ดเลือดขาวสู้ไม่ได้ เราก็จำเป็นต้องหาผู้ช่วย เช่น ยาปฏิชีวนะ เข้ามาเป็นกำลังเสริม ปัจจุบันยังมีความเข้าใจผิดในการใช้ยาปฏิชีวนะเป็นอย่างมาก ใช้ผิดวิธีโดยมิได้ตั้งใจและก่อให้เกิดผลเสียตามมา ซึ่งบางครั้งอาจถึงกับเสียชีวิตได้ ทั้งจาก การแพ้ยา และ/หรือ เชื้อดื้อยา. 

ยาอันตราย

“ยาปฏิชีวนะ” เป็น “ยาอันตราย”  บางชนิดให้ลองดูข้างกล่องยา หรือบรรจุภัณฑ์จะเห็นคำว่า  
“ยาอันตราย” ในกรอบสีแดง และเตือนว่ายานี้อาจทำให้เกิดการแพ้ และเป็นอันตรายถึงตายได้.  
-อันตรายจากยาปฏิชีวนะ เช่น แพ้ยา ติดเชื้ออื่นแทรกซ้อน และเชื้อดื้อยา
-เชื้อดื้อยา แปลว่า ยาปฏิชีวนะชนิดนี้ไม่ได้ผลอีกต่อไป. เพราะแบคทีเรียเกิดการปรับตัวให้ทนต่อยา และถ้ายังใช้ยาปฏิชีวนะอย่างพร่ำเพรื่อต่อไป. สุดท้ายไม่มียาใดรักษาได้
-เชื้อดื้อยา แพร่กระจายได้ คนที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ ได้แก่ เด็ก คนแก่ คนที่เป็นเบาหวาน และคนที่นอนรักษาตัวในโรงพยาบาล.
เราหยุดเชื้อดื้อยาและอันตรายจากการใช้ยาปฏิชีวนะได้ดังนี้
-หยุดกินยาปฏิชีวนะอย่างพร่ำเพรื่อ คือ ไม่ใช้ยาปฏิชีวนะในโรคที่ไม่จำเป็นต้องใช้ เช่น หวัดเจ็บคอ ท้องเสีย และแผลเลือดออก
-อย่ากินยาปฏิชีวนะแบบเผื่อๆ ไว้ คือ ยังไม่รู้ว่าป่วยเป็นอะไร ก็กินยาปฏิชีวนะกันไว้ก่อน หรือเผื่อไว้ก่อน เราต้องนึกเสมอว่า “ยาปฏิชีวนะใช้ฆ่าเชื้อแบคทีเรียเท่านั้น” ถ้าเจ็บป่วยจากสาเหตุอื่นๆ ยาปฏิชีวนะรักษาไม่ได้. ได้แค่ไปควบคุมโรคที่จะขยายเป็นวงกว้าง.
-อย่าซื้อยาปฏิชีวนะกินเอง เพราะยาปฏิชีวนะแต่ละชนิดเหมาะกับเชื้อแบคทีเรียแต่ละชนิดไม่เหมือนกัน แพทย์และเภสัชกรจะบอกเราได้ว่ายาปฏิชีวนะชนิดใดเหมาะสมกับเชื้อโรคไหน
-อย่าแนะนำ หรือแบ่งยาปฏิชีวนะของเราให้คนอื่น เพราะเราไม่รู้ว่าเขาป่วยจากเชื้อแบคทีเรียหรือไม่ เป็นเชื้อประเภทไหนยาใดที่เหมาะกับเขา เขาแพ้ยาอะไร และมีโรคประจำตัวหรือไม่                            

3 โรคหายเองได้ ด้วยภูมิต้านทานของร่างกาย ไม่ต้องกินยาปฏิชีวนะ

1.หวัดเจ็บคอ ส่วนใหญ่ (กว่าร้อยละ 80) เกิดจากเชื้อไวรัส มีอาการ เช่น น้ำมูกไหล ไอ เสียงแหบ เจ็บคอ มีไข้ โดยทั่วไป.  โรคนี้จะเป็นนานประมาณ 7-10 วัน โดยในวันที่ 3-4 จะมีอาการมากสุด แต่หลังจากนั้นอาการจะดีขึ้นเอง.  แต่ถ้าเจ็บคอ มีหนองที่ต่อมทอนซิล ต่อมน้ำเหลืองใต้ขากรรไกรโต และกดเจ็บหรืออาการแย่ลง ต้องไปพบแพทย์

2.ท้องเสีย เกือบทั้งหมด (ประมาณร้อยละ 99) เกิดจากไวรัส หรืออาหารเป็นพิษ มีอาการถ่ายเหลวหรือถ่ายเป็นน้ำ อาจมีคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วยรักษาโดยดื่มน้ำเกลือแร่ ไม่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะ แต่ถ้ามีไข้ และอุจจาระมีมูกปนเลือด ต้องไปพบแพทย์

3.แผลเลือดออก เช่น แผลมีดบาด แผลถลอก บาดแผลเล็กน้อยจากอุบัติเหตุซึ่งล้างทำความสะอาดได้ถูกต้อง และสุขภาพของเราแข็งแรงดี ไม่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะ เพราะป้องกันการติดเชื้อไม่ได้ และไม่ได้ทำให้แผลหายเร็วขึ้น แต่ถ้าเป็นแผลที่เท้า ตะปูตำ สัตว์กัด หรือโดนสิ่งสกปรก เช่น มูลสัตว์ หรือมีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ต้องไปพบแพทย์   โปรดใช้ยาปฏิชีวนะเฉพาะเมื่อจำเป็นเพื่อสุขภาพที่ดีของทุกคน
จุดเด่น ของยาปฏิชีวนะ

1.สะดวก หาซื้อง่าย ราคาถูก
2.เป็นที่คุ้นเคย ของคนส่วนใหญ่
3.ส่วนใหญ่ใช้ในวงการแพทย์ แผนปัจจุบัน

ฮั้วลักเซียม แตกต่าง จากสมุนไพรทั่วไปอย่างไร? หากคุณอ่านประวัติ คุณหมอณรงค์ พุ่มโพธิ์งาม ผู้คิดค้นสูตรและการปรุงยา จะเห็นว่ายานั้นมีที่มาอย่างไร?  ผมบอกได้เลยครับ.  ฮั้วลักเซียม นั้นมีครูบาอาจารย์  เป็นยาที่มีความศักดิ์สิทธิ์อยู่ในตัวเองครับ.
หลัก กาลามสูตร ກາລາມະສູດ คือ พระสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ชาวกาลามะ 
เป็นหลักแห่งความเชื่อที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ให้แก่พุทธศาสนิกชน ไม่ให้เชื่อสิ่งใด ๆ อย่างงมงายโดยไม่ใช้ ปัญญา  พิจารณาให้เห็นจริงถึงคุณโทษหรือดีไม่ดีก่อนเชื่อ ปัจจุบันแนวคิดและหลักสูตรที่สอนให้คนมีเหตุผลไม่หลงเชื่องมงาย ในทำนองเดียวกับคำสอนของพระพุทธองค์เมื่อ 2500 ปีก่อน ได้รับการบรรจุเป็นวิชาบังคับว่าด้วยการสร้างทักษะการคิดหรือที่เรียกว่า "การคิดเชิงวิจารณ์" (Critical thinking) ไว้ในกระบวนการเรียนรู้ในมหาวิทยาลัยของประเทศพัฒนาแล้ว.   มีอยู่ 10 ประการ ได้แก่.
  ดูกรกาลามชนทั้งหลาย เราได้กล่าวคำใดไว้ว่า ดูกรกาลามชนทั้งหลาย
มาเถอะท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายอย่าได้ยึดถือตามถ้อยคำที่ได้ยินได้ฟังมา อย่าได้
ยึดถือตามถ้อยคำสืบๆ กันมา อย่าได้ยึดถือโดยตื่นข่าวว่า ได้ยินว่าอย่างนี้ อย่าได้ยึดถือ
โดยอ้างตำรา อย่าได้ยึดถือโดยเดาเอาเอง อย่าได้ยึดถือโดยคาดคะเน อย่าได้ยึดถือโดย
ตรึกตามอาการ อย่าได้ยึดถือโดยชอบใจว่าต้องกันกับทิฐิของตน อย่าได้ยึดถือโดยเชื่อว่า
ผู้พูดสมควรเชื่อได้ อย่าได้ยึดถือโดยความนับถือว่าสมณะนี้เป็นครูของเรา ”
 
1. อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ฟังๆ กันมา
2. อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ทำต่อๆ กันมา
3. อย่าเพิ่งเชื่อตามคำเล่าลือ
4. อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างตำรา
5. อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกเดา
6. อย่าเพิ่งเชื่อโดยคาดคะเนเอา
7. อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกคิดตามแนวเหตุผล
8. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะถูกกับทฤษฎีของตน
9. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะมีรูปลักษณ์ที่ควรเชื่อได้
10.  อย่าเพิ่งเชื่อเพราะผู้พูดเป็นครูบาอาจารย์ของตน






ฮั้วลักเซียม หมอณรงค์ ช่อง7   ฮั้วลักเซียม ช่อง7   ฮั้วลักเซียม ช่อง7  ฮั้วลักเซียม ช่อง3  ฮั้วลักเซียม NBT   ฮั้วลักเซียม โรคเอดส์ระยะสุดท้าย   ฮั้วลักเซียม กระดูกทับเส้น   ฮั้วลักเซียม ผู้ป่วยยิ้มได้1   ฮั้วลักเซียม ผู้ป่วยยิ้มได้2   ฮั้วลักเซียม การันตรี   ฮั้วลักเซียม UPDATE1   ฮั้วลักเซียม UPDATE2   ฮั้วลักเซียม UPDATE3   ฮั้วลักเซียม UPDATE4   ฮั้วลักเซียม UPDATE5   ฮั้วลักเซียม มะเร็งเต้านม มดลูกอักเสบ   ฮั้วลักเซียม กระดูกทับเส้น ความดันสูง   ฮั้วลักเซียม ภูมิแพ้ ไมเกรน   ฮั้วลักเซียม ปอดอักเสบ ติดเชื้ออย่างรุนแรง   ฮั้วลักเซียม เส้นเลือดสมองตีบ SLE    ฮั้วลักเซียม อัมพฤกษ์   ฮั้วลักเซียม คนเดียว9โรค   ฮั้วลักเซียม ไตในเด็กตัวบวม   ฮั้วลักเซียม มะเร็งมดลูกระยะแรก   ฮั้วลักเซียม กระดูกพรุน ความดัน   ฮั้วลักเซียม สะเก็ดเงินสะเก็ดทอง โรคประสาท   ฮั้วลักเซียม ลิ้นหัวใจรั่ว เส้นเลือดสมองตีบ   ฮั้วลักเซียม โรคไต   ฮั้วลักเซียม เบาหวาน เข่าเสื่อม   ฮั้วลักเซียม ไทรอยด์ ตกขาว   ฮั้วลักเซียม ริดสีดวง ความดันไมเกรน